อว. สวทช. จับมือ บ.สกุลฎ์ซีฯ และ CWT ร่วมทุนในกิจการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีต่อยอดอุตฯ ผลิตยานพาหนะสมัยใหม่แบบครบวงจร เสริมศักยภาพผู้ประกอบการ ลดการนำเข้า ยกระดับสู่เศรษฐกิจนวัตกรรม
เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2562 ที่โรงแรม อนันตรา รีเวอร์ไซด์ กรุงเทพฯ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ร่วมกับ บริษัท สกุลฎ์ซี (sakunc) อินโนเวชั่น จำกัด กลุ่มบริษัท โชคนำชัย และบริษัท ชัยวัฒนา แทนเนอรี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทที่ทำเกี่ยวกับอุตสาหกรรมยานยนต์ทั้งภายนอกและภายใน
จัดพิธีลงนามการร่วมทุนในกิจการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อก้าวสู่การผลิตยานพาหนะสมัยใหม่แบบครบวงจร (Modern Transportation) โดยมี ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการ สวทช. นายนำชัย สกุลฎ์โชคนำชัย ประธานกรรมการกลุ่มบริษัทโชคนำชัย กรรมการผู้จัดการ นายวีรพลน์ เตชะผาสุกสันติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สกุลฎ์ซี อินโนเวชั่น จำกัด และนายวีระพล ไชยธีรัตต์ บริษัท ชัยวัฒนา แทนเนอรี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เพื่อต่อยอดอุตสาหกรรมผลิตยานพาหนะสมัยใหม่แบบครบวงจรตามนโยบายประเทศไทย 4.0 ด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม (วทน.) เสริมศักยภาพผู้ประกอบการ ลดการนำเข้า สร้างรายได้ เพิ่มความเข้มแข็ง ยกระดับประเทศสู่เศรษฐกิจนวัตกรรม
ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เปิดเผยว่า ในฐานะที่ สวทช. เป็นหน่วยงานภาครัฐที่มีองค์ความรู้เรื่องการวิจัยและพัฒนาที่มีบทบาทสำคัญในการสร้างคุณค่าของวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีให้กับเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ โดยผ่านกลไกการใช้ประโยชน์จากผลงานวิจัยสู่เชิงพาณิชย์ โดยเฉพาะเรื่องความปลอดภัยอีกทั้งยังเสริมสร้างศักยภาพ ยกระดับผู้ประกอบการและนักลงทุน ร่วมกับเครือข่ายความร่วมมือ และหน่วยงานพันธมิตรในการขับเคลื่อนต่อยอดการใช้ผลงานวิจัยและนวัตกรรม สร้างการเชื่อมโยงให้ภาคความต้องการเข้าถึงผลงานวิจัยเกิดเป็นธุรกิจเทคโนโลยีที่มีมูลค่าได้สะดวกมากขึ้น
ผอ.สวทช. กล่าวต่อว่า กลไกการร่วมลงทุน” เป็นกลไกสำคัญในการผลักดันให้เกิดการใช้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม (วทน.) ตามนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ซึ่งกำหนดการวิจัยและนวัตกรรมขนาดใหญ่เพื่อขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การวิจัยและนวัตกรรม 20 ปี (พ.ศ. 2560-2579) โดย สวทช. ร่วมมือเพื่อถ่ายทอดเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับการต่อยอดพัฒนาผลิตภัณฑ์ของบริษัท สกุลฎ์ซี อินโนเวชั่น จำกัด
สำหรับการที่สวทช.ได้ร่วมลงทุนในบริษัท สกุลฎ์ซี อินโนเวชั่น จำกัด ในครั้งนี้ เป็นก้าวสำคัญในการผลักดันให้อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ในประเทศ โดยทีมงานคนไทย สร้างโรงงานผลิตเรือและรถโดยสารขนาดเล็กจากอลูมิเนียมในระดับอุตสาหกรรมขึ้นเป็นแห่งแรกของประเทศไทย และยังช่วยตอบโจทย์การเพิ่มความเข้มแข็งของประเทศ เปลี่ยนจากผู้นำเข้าเป็นผู้พัฒนาเพื่อใช้เอง ลดการนำเข้าจากต่างประเทศ สำหรับอุตสาหกรรมเรือในปัจจุบันเป็นการนำเข้า หรือประกอบโดยอู่ต่อเรือที่ต้องใช้เวลาในการผลิตค่อนข้างนาน ต้นทุนสูง และในส่วนของรถโดยสารขนาดเล็กก็เป็นการนำเข้าเช่นกัน
อีกทั้งยังไม่มีผู้ผลิตในประเทศอีกด้วย นอกเหนือจากที่ สวทช. ได้ให้บริการสนับสนุนบริษัทฯ ทั้งในด้านความรู้เรื่องการออกแบบโครงสร้าง และวิเคราะห์ทดสอบความแข็งแรงของรถบัสและเรืออลูมีเนียม รวมทั้งการตรวจสอบคุณสมบัติเรืออลูมีเนียมรุ่น F190 เพื่อขึ้นบัญชีนวัตกรรมไทยแล้ว การร่วมลงทุนในครั้งนี้เป็นการผลักดันงานวิจัย และพัฒนาจากนักวิจัยไปสู่ภาคเอกชนต่อยอดผลิตภัณฑ์ยกระดับประเทศให้เป็นเศรษฐกิจฐานนวัตกรรม สร้างอุตสาหกรรมยานพาหนะให้เป็นอุตสาหกรรมที่ขับเคลื่อนด้วย วทน. สร้างรายได้ลดการนำเข้าอย่างยั่งยืนต่อไป
อย่างไรก็ตามการลงทุนในครั้งนี้ แบ่งเป็น 3 ส่วน คือ 1.ในส่วนสทวช.ถือหุ้น 10% 2.บริษัทสกุลฎ์ซีฯ ในฐานะเป็นผู้ผลิตเรื่องโครงสร้างภายนอกเกี่ยวกับ เรือ และรถยนต์ ถือหุ้นประมาณ 40% และ3.บริษัทชัยวัฒนา แทนเนอรี่ กรุ๊ปฯ หรือ CWT ซึ่งเป็นผู้ผลิตโครงสร้างภายใน ถือหุ้นประมาณ 50%
ด้านนายนำชัย สกุลฎ์โชคนำชัย ประธานกลุ่มบริษัท โชคนำชัย และบริษัท สกุลฎ์ซี อินโนเวชั่น จำกัด กล่าวว่า กลุ่มบริษัทฯ เราเป็นผู้ผลิตแม่พิมพ์ขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และเป็น Top5 Asia ที่ทำแม่พิมพ์สำหรับผลิตตัวถังรถยนต์ได้ทุกชิ้นส่วน ส่งตรงบริษัทชั้นนำมากมายทั่วโลก ประสบการณ์ยาวนานกว่า 40 ปี และมีผลงานการค้นคว้าวิจัยด้านเทคโนโลยีที่บริษัทได้คิดค้นขึ้น ทางด้าน Advanced Material และเทคโนโลยีการขึ้นรูป นับเป็นองค์ความรู้สำคัญต่อการพัฒนาและต่อยอดเทคโนโลยี นวัตกรรม รวมไปถึงผลิตภัณฑ์ต่างๆ ให้มีคุณภาพที่สูงขึ้น จนทัดเทียมกับระดับสากล สามารถต่อยอดมูลค่าทางเศรษฐกิจไทย จนนำมาซึ่งการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีในสังคม
และเพื่อการต่อยอดนวัตกรรมให้มีคุณภาพมากขึ้น และการร่วมมือกับ สวทช. ในครั้งนี้ จะนำองค์ความรู้ที่สำคัญต่อการพัฒนาของบริษัท ต่อยอดองค์ความรู้ด้านการผลิตเรืออลูมิเนียม โดยการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีการคำนวณทางพลศาสตร์ของไหล หรือ CFD (Computational Fluid Dynamics) ช่วยในการจำลองสภาวะการใช้งานและศึกษาความสัมพันธ์ ตลอดจนผลกระทบจากการไหลของน้ำที่มีต่อโครงสร้างเรือ ที่สำคัญ สวทช. ยังช่วยวิจัยเรื่องความแข็งแรงของโครงสร้างรถโดยสารตัวถังอลูมิเนียม ซึ่งผลดังกล่าวสามารถนำมาใช้ลดน้ำหนักของโครงสร้างให้มีน้ำหนักเบายิ่งขึ้น และมีความแข็งแรงตามมาตรฐานสากล ซึ่งความรู้ตัวนี้จะช่วยในการลดน้ำหนักและต้นทุนผลิต อีกทั้งเป็นการใช้พลังงานไฟฟ้าได้อย่างเต็มประสิทธิภาพในรถโดยสารไฟฟ้าในอนาคต สร้างประโยชน์ให้กับอุตสาหกรรมของประเทศได้โดยตรง
ด้านนายวีรพลน์ เตชะผาสุขสันติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สกุลฎ์ซี อินโนเวชั่น จำกัด กล่าวว่า การร่วมมือกับ สวทช. ครั้งนี้ นอกเหนือจากการพัฒนางานนวัตกรรมช่วงแรกอย่างรถไฟฟ้าโดยสาร เรืออลูมิเนียมที่มีความปลอดภัยสูงแล้ว ยังมีโครงการที่จะเตรียมทำต่ออีกหลายโครงการ อาทิ โครงการพัฒนาเรืออัจฉริยะ เรือ unman เรือไฟฟ้า การนำใช้ระบบอัจฉริยะต่างๆ เพื่อความปลอดภัย การใช้ Digital IoT technology สำหรับเชื่อมต่อสิ่งต่างๆ รวมถึงการจัดเก็บข้อมูลพฤติกรรม และการใช้งานเพื่อรองรับ AI ต่อไป
จากการที่กลุ่มบริษัทของเราพัฒนาจนมี Technology และ Knowhow การขึ้นรูปโลหะชั้นสูง จนเป็นที่ยอมรับจากหลายค่ายรถชั้นนำ รวมถึงผันตัวเองมาพัฒนาการออกแบบกระบวนการผลิต จนสามารถออกแบบผลิตภัณฑ์ที่มีความซับซ้อนสูงได้ด้วยตัวเองทั้งหมด เช่น เรือ และ รถโดยสาร เป็นต้น และยังสามารถนำไปผลิต และประกอบตามมาตรฐานสากล และวางขายในเชิงพาณิชย์ ภายใต้แบรนด์ไทยได้นั้น ยังคงมองถึงการพัฒนาอย่างยั่งยืนต่อไป โดยการร่วมมือกับหน่วยงานวิจัยหลักของประเทศ อย่าง สวทช. คือเพื่ออาศัยผู้ชำนาญการสร้างระบบจัดองค์ความรู้ระดับสูงที่ได้พัฒนาขึ้นมา ให้อยู่ในรูปแบบที่เป็นสากล สามารถถ่ายทอดและพัฒนาต่อเนื่องอย่างเป็นรูปแบบได้ อีกทั้งยังสามารถนำเทคโนโลยีที่มีการพัฒนาโดยคนไทยและนักวิจัยเข้ามาใช้ในผลิตภัณฑ์ต่างๆ อีกด้วย
ด้าน คุณวีระพล ไชยธีรัตต์ บริษัท ชัยวัฒนา แทนเนอรี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CWT กล่าวว่า SAKUN C ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ CWT การร่วมมือกันในครั้งนี้จะส่งผลให้ CWT มีความแข็งแกร่งขึ้นเป็นอย่างมาก และจะได้มีนวัตกรรม และเทคโนโลยีใหม่ๆ เพิ่มขึ้น เพื่อช่วยในการผลิตยานพาหนะสมัยใหม่ และจะเป็นการช่วยสนับสนุนการดำเนินงานในอนาคตให้มีการเติบโตอย่างแข็งแกร่งต่อไป โดยการร่วมมือกันในครั้งนี้จะสร้างผลประโยชน์ให้กับวงการเทคโนโลยี และอุตสาหกรรมไทยเป็นอย่างมาก รวมถึงการเพิ่มขีดความสามารถในการผลิตนวัตกรรม และพัฒนากระบวนการผลิตโดยระบบ Automation ทำให้ผลิตภัณฑ์มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น รวมไปถึงร่วมกันวิจัย และพัฒนาเทคโนโลยีการออกแบบ ยานยนต์สมัยใหม่ โดยใช้โครงสร้างน้ำหนักเบา และขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้า ตอบรับยุคไทยแลนด์ 4.0 อย่างเต็มตัว นอกจากนี้ยังให้ความสำคัญกับความร่วมมือกันพัฒนาทักษะบุคลากรด้านการวิจัย ด้านการพัฒนา และด้านการบริหารองค์ความรู้ รวมไปถึงการแลกเปลี่ยนบุคลากรในองค์กร เพื่อสร้างบุคลากรที่มีคุณภาพ เป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีไทยต่อไป